วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

เอลฟ์( Elf ) part 1

 

เอลฟ์( Elf ) 

 



         จากตำนานกล่าวว่า เอลฟ์ - Elf หรือ พรายคือสิ่งมีชีวิตในตำนานของนอร์ส ซึ่งว่ากันว่าอาศัยอยู่ตามภาคเหนือของยุโรป เอลฟ์ส่วนมากจะมีรูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงามอยู่ตามป่าเขาธรรมชาติ พวกเขาจะถูกกล่าวว่าเป็นอมตะ และมีเวทมนตร์ นอกจากจะถูกกล่าวถึงในตำนานเทพเจ้าสแกนดิเนเวียแล้ว เอลฟ์ยังถูกกล่าวถึงในที่อื่นๆด้วย โดยเฉพาะในเรื่องที่ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เขียน เอลฟ์จะมีสายตาดีมองเห็นได้กว้างไกล และมักใช้ธนูเป็นอาวุธ
         เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ดีงาม เป็นอมตะ ทรงภูมิปัญญาและเป็นมิตรที่ดีของมนุษย์ ในเรื่องความเป็นอมตะนั้น โทลคีนได้อธิบายว่า พวกเอลฟ์สามารถถูกฆ่าตายได้ หากแต่วิญญาณจะกลับมาเข้าร่างใหม่ที่เหมือนกับร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำที่ต่อเนื่องจากเดิม ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งสำหรับพวกเอลฟ์ใน ก็คือเอลฟ์ในเรื่องนี้จะมีรูปร่างสูงใหญ่สง่างาม ผิดจากเอลฟ์ในนิทานพื้นบ้านยุโรปที่จะเป็นมนุษย์แคระตัวเท่าเด็ก หรือเอลฟ์ใน แฮรี พอตเตอร์ ที่ดูเหมือนสัตว์ประหลาด
         ทั้งนี้โทลคีนสร้างเอลฟ์ขึ้นมาจากความเชื่อดั้งเดิมของชาวยุโรปในยุคก่อนหน้า ที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามามีบทบาท ในความเชื่อดั้งเดิมนั้น เอลฟ์คือเผ่าพันธุ์ กึ่งมนุษย์กึ่งเทพเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต่ำกว่าเทพแต่เหนือกว่ามนุษย์ ดังนั้นเอลฟ์จึงมีลักษณะสูงใหญ่และสง่างาม ต่อมา เมื่อความเชื่อในศาสนาคริสต์เข้ามาในยุโรป ความคิดที่ว่ามีเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่ามนุษย์จึงหมดไป และเอลฟ์ก็ถูกลดขนาดลงอย่างที่เห็น ในเกมคอมพิวเตอร์ และในหนังผจญภัยต่าง ๆ ก็มักมีเรื่องของเอลฟ์ปรากฏอยู่         
 ตำนานโบราณบางแห่งได้บันทึกเรื่องราวของภูตพวกเอลฟ์ตนหนึ่ง นางเอลฟ์ผู้นี้คลุมร่างด้วยผ้าไหมและเป็นสตรีร่างเล็ก ๆ ที่สวยงามที่สุดเท่าที่คนเคยพบ กษัตริย์เฮลกิออกไปเที่ยวป่าได้พบภูตตนนี้เข้าจึงถึงกับอดใจไม่ไหว เอลฟ์ในนิยายปรัมปรามักอาศัยอยู่ในลำนำพื้นบ้าน ส่วนใหญ่มักเป็นภูตเพศหญิงชาวสวีเดนก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเอลฟ์ ว่าเป็นเหล่าภูตเด็กหญิงผู้งดงามน่าตื่นตะลึง อาศัยอยู่ในป่ากับกษัตริย์เอลฟ์ พวกเอลฟ์มีอายุยืนยาวมาก และมักรื่นเริงไร้แก่นสาร วัน ๆ จะร้องเพลง ร่ายรำไปอย่างมีความสุข แต่บางที่ก็บอกว่าเอลฟ์จะดูร้ายเกรี้ยวกราดหากถูกบุกรุก ปกติแล้วจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าถูกทำให้โมโหก็จะตอบโต้อย่างน่ากลัว
        แม้จะมีร่างเล็ก แต่ก็มีมนุษย์ที่หลงรักภูตเอลฟ์ สายเลือดผสมระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์จึงเริ่มต้นมาจากความเชื่อเก่าแก่ในตำนานนอร์สโบราณ เมื่อมีราชินีชาวมนุษย์ผู้หนึ่ง ได้รักกับภูตเอลฟ์และได้เสียกันจนให้กำเนิดวีรบุรุษคนหนึ่ง ชื่อ ฮอกนีย์ ส่วนนางเอลฟ์ซึ่งถูกกษัตริย์เฮลกิขืนใจให้กำเนิดธิดานามว่า สกุลด์ ในมหากาพย์ หลายเรื่องของตะวันตกเล่าว่าพวกที่สืบทอดเชื้อสายมาจากเอลฟ์มักจะเป็นผู้ที่งดงามยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่พวกเอลฟ์ในตำนานของเดนมาร์กจะแต่ต่างไปอีกแบบ เพราะบันทึกไว้ว่าพวกเอลฟ์เป็นภูตตัวเล็กมีปีกเหมือนแมลงตัวเล็ก ๆ เคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ เอลฟ์แห่งกุหลาบ ซึ่งหมายถึง พวกที่มีตัวเล็กมากจนสามารถใช้ดอกกุหลาบเป็นบ้านได้ ในนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ ของเดนมาร์ก เล่าถึงเอลฟ์ว่า เป็นภูตสาวผู้สวยงามอาศัยอยู่ตามเนินเขา นางจะสามารถเต้นรำกับชายหนุ่มจนกระทั่งเขาสิ้นใจตาย
       ว่ากันว่า ถ้ามนุษย์ใดหลงเข้าไปในป่าลึกแล้วไปแอบดูพวกเอลฟ์เริงระบำกันอยู่นั้น ช่วงเวลาที่เฝ้ามองการเริงระบำของพวกเอลฟ์มนุษย์จะรู้สึกว่าตนกำลังแลดูการเต้นรำนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ทว่าความเป็นจริงเวลาได้ล่วงผ่านไปนานหลายปีเชียวล่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์ที่น่าเศร้ามีปรากฎในวรรณกรรมของ เรื่อง ชิลมาริลลิออน ชายหนุ่มผู้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ได้รับเชิญจากราชินีเอลฟ์ให้ไปเต้นรำด้วยกันในงานเลี้ยง แต่เขาปฎิเสธเพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเขาเข้าร่วมการเต้นรำนั้น วันต่อมาขณะที่เขากำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อไปงานวิวาห์ของตนเอง ราชินีเอลฟ์เสนอของขวัญให้แก่เขา แต่เขาปฎิเสธ นางจึงขู่จะฆ่าเขาหากเขาไม่ยอมเต้นรำกับนาง เขารีบขี่ม้าหนีไป แต่ก็ต้องตายด้วยโรคร้ายที่ราชินีเสกมนตร์ส่งโรคร้ายให้ติดตามไปเจ้าสาว ของเขาทราบข่าวก็หัวใจสลายและตรอมใจตายเขาไปด้วย
        ทางฝั่งเยอรมันเล่าเรื่องภูตเอลฟ์ว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ส่องสว่างอาศัยอยู่บนสวรรค์ บ้างก็ว่าพวกเอลฟ์ว่าเป็นภูตที่ซุกซนชอบเล่นแผลง ๆ นำความเจ็บป่วยมายังผู้คนและสัตว์เลี้ยง บางครั้งก็นำเอาฝันร้ายมาให้ผู้ที่กำลังนอนหลับด้วยสมัยก่อนในสแกนดิเนเวีย เวลาใครเจอผีอำ คือ รู้สึก เหมือนโดนทับที่หน้าอกจนขยับตัวไม่ได้ ก็จะโทษว่าเป็นเพราะภูตเอลฟ์มานั่งทับ ทางอังกฤษเล่าเรื่องเอลฟ์ว่าเป็นภูตที่มีแต่เงา ร่างเป็นแสงสว่าง มีทั้งเอลฟ์สว่างและเอลฟ์มืด สามารถหายตัวได้ และเป็นภูตที่ฉลาดรอบรู้มาก อย่างไรก็ดี เอลฟ์เป็นภูตที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ในหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์มีพวกเอลฟ์เป็นภูตที่เป็นเหมือนสัตว์ประหลาด ในขณะที่หนังและเกมส์ต่าง ๆ ก็แสดงตัวตนของเอลฟ์ว่าเป็นภูตร่างเล็ก ที่ไม่มีพิษภัยกับมนุษย์
        ส่วนตำนานของดาร์คเอลฟ์กล่าวว่า ดาร์คเอลฟ์กก็คือเอลฟ์ที่ใช้ความมืดมากกว่าเวทย์มนต์ด้านแสงสว่าง พวกดาร์คเอลฟ์ส่วนมากจะฉลาดแกมโกงแถมยังมีนิสัยเจ้าเลห์ โดยปกติมักจะซ่อนตัวอยู่ภายในป่ามืด
         ดาร์คเอลฟ์แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า " บราวน์เอลฟ์ " และเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อสายเอลฟ์ แต่ถูกเนรเทศเนื่องจากบราวน์เอลฟ์ร่ำเรียนแต่มนต์ดำเพื่อไปต่อสู้กับมนุษย์ แม้ว่าจะแพ้สงครามในคราวนั้นแต่ก็ยังคงร่ำเรียนมนต์ดำกันอยู่และอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านอาร์ซินเลส อาณาจักรวิจิตรตระการตาที่สร้างกันใต้ดิน
        ดาร์คเอลฟ์มีลักษณะคล้ายเอลฟ์ เพียงแต่มีสีผิวเข้มเนื่องจากกำเนิดจากเทพแห่งวายุและ บูชาเทพแห่งวายุใต้ดิน ดาร์คเอลฟ์หญิงมีลักษณะสวยงามมากๆหน้าตาเข้มโฉบเฉียว ดูลึกลับและเย่อหยิ่ง มีบุคลิกสง่างาม มีสรีระที่ชายทุกเผ่าพันธุ์หลงใหล  
       ดาร์คเอลฟ์มีสามารถพิเศษต่างๆคล้ายเอลฟ์ คือกลั้นหายใจในน้ำได้ดี คล่องแคล่ว ว่องไว และมีไหวพริบที่ดีมาก แต่เนื่องจากดาร์คเอลฟ์มีการฝึกฝนอย่างหนัก และค่อนข้างโหดร้าย จึงทำให้ดาร์คเอลฟ์มีพลังอำนาจทั้งการต้านเวทย์มนต์จากศัตรูและการร่ายเวทย์ที่มีอนุภาพรุนแรงเฉียบขาดกว่าเอลฟ์และเผ่าพันธุ์ใด ๆ แต่ข้อเสียคือแทบจะไม่มีเวทย์มนต์รักษาเลย
       บางตำนานกล่าวว่า เอลฟ์  ตามความหมายในจินตนิยายชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทพอิลูวาทาร์ มีชีวิตยืนยาวเท่ากับอายุของโลก จึงเสมือนหนึ่งว่าเป็นอมตะ คำว่า 'เอลฟ์' (Elf) เป็นคำที่โทลคีนเลือกมาจากตำนานโบราณเพื่อใช้แทนคำศัพท์แท้จริงอันเป็นชื่อของชนเผ่านี้ คือ เอลดาร์ (Eldar) ซึ่งเป็นคำในภาษาเควนยา หมายถึง 'ประชากรแห่งแสงดาว'
       โทลคีนมักกล่าวเสมอว่า การตั้งชื่อต่าง ๆ ในผลงานของเขา มีเหตุจากรากฐานของเสียงและคำศัพท์ในภาษาเฉพาะที่เขาประดิษฐ์ขึ้น คือภาษาเควนยา และภาษาซินดาริน อย่างไรก็ดีคำศัพท์เหล่านั้นมักพ้องเสียงกับรูปภาษาโบราณอื่น ๆ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเก่า (Old English) การศึกษาผลงานของโทลคีนโดยพิจารณารากศัพท์ในภาษาอังกฤษเก่า ช่วยให้เข้าใจจุดมุ่งหมายในการประพันธ์ของโทลคีนมากขึ้น
        เอลฟ์ ในผลงานของโทลคีน สื่อถึงอารยะธรรมอันเก่าแก่ ความทรงภูมิปัญญา และความดีงามของโลก ซึ่งส่วนหนึ่งสืบทอดไหลเวียนอยู่ในร่างกายมนุษย์ โทลคีนสื่อความหมายนี้โดยการประพันธ์ให้เผ่าพันธุ์เอลฟ์ ได้วิวาห์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์ในยุคหลังจึงมีสายเลือดของเอลฟ์ผสมอยู่
        ตามปกรณัมของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน การตื่นของเอลฟ์ เป็นจุดเริ่มต้นนับยุคที่หนึ่งของยุคแห่งพฤกษาพวกเอลฟ์เล่าสืบต่อกันมาว่า พวกเขาตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ในดินแดนไกลโพ้นทางฟากตะวันออกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธ กลุ่มที่ตื่นขึ้นเป็นกลุ่มแรกคือชาววันยาร์ กลุ่มที่สองคือ โนลดอร์ และกลุ่มที่สามคือชาวเทเลริ เวลานั้นโลกอาร์ดายังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีแต่เพียงแสงสว่างจากแสงดาว พวกเอลฟ์จึงมองเห็นแสงดาวเป็นสิ่งแรก และหลงรักในแสงดาวเหล่านั้น เมลคอร์ เป็นคนแรกที่ล่วงรู้ถึงการตื่นของเหล่าเอลฟ์ จึงลอบมาทำร้ายและจับตัวพวกเอลฟ์ไปทรมาน บ้างเชื่อกันว่านี่เป็นที่มาของพวกออร์ค คือการที่เมลคอร์เอาตัวพวกเอลฟ์ไปทรมานจนวิกลวิการ เป็นการทำลายสิ่งประดิษฐ์แสนวิเศษของอิลูวาทาร์
        เมื่อเทพโอโรเมเสด็จประพาสมิดเดิลเอิร์ธคราวหนึ่ง จึงมาพบพวกเอลฟ์เข้า เหล่าวาลาร์ จึงมีดำริให้ชักชวนพวกเอลฟ์ให้เดินทางไปอยู่ด้วยกันกับพวกพระองค์ที่วาลินอร์ เพื่อให้รอดพ้นจากการรังควานของเมลคอร์ เกิดเป็นการอพยพครั้งใหญ่ของเอลฟ์ ซึ่งเป็นจุดแบ่งกลุ่มตระกูลของเอลฟ์อีกมากมายในเวลาต่อมา การแบ่งชาติพันธุ์ของเอลฟแบ่งได้เป็นกลุ่มดังต่อไปนี้
แบ่งตามการเข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่
       อวาริ : 'ผู้ปฏิเสธ' คือพวกที่ไม่ได้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่
       เอลดาร์ : เอลฟ์แห่งแสงดาว ซึ่งเดิมเป็นชื่อเรียกเอลฟ์ทั้งหมด ต่อมาใช้เรียกพวกที่เข้าร่วมการเดินทางเท่านั้น
แบ่งตามการเดินทางไปถึงอามัน
       อามันยาร์ : เอลฟ์ที่ไปถึงอามัน
       อูมันยาร์ : เอลฟ์ที่ไปไม่ถึงอามัน
แบ่งตามการได้เห็นแสงแห่งพฤกษา
       คาลาเควนดิ : เอลฟ์แห่งแสงสว่าง คือพวกที่ได้เห็นแสงแห่งพฤกษา
       มอริเควนดิ : เอลฟ์แห่งความมืด คือพวกที่ไม่ได้เห็นแสงแห่งพฤกษา
       บางที่ก็กล่าวว่า เอลฟ์ คือสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์สและตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศเจอร์เมนิก (สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) เมื่อแรกเริ่ม แนวคิดเกี่ยวกับพวกเอลฟ์คือ "ชนเผ่าที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ภาพวาดของชนเหล่านี้มักเป็นมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่แลดูอ่อนเยาว์และงดงาม อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ ใต้พื้นดิน หรือตามบ่อน้ำและตาน้ำพุ มักเชื่อกันว่าพวกเขามีชีวิตยืนยาวมากหรืออาจเป็นอมตะ รวมทั้งมีพลังเวทมนตร์วิเศษ"
       แต่หลังจาก ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผลงานอันโด่งดังของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏออกมา ภาพของเอลฟ์ก็กลายเป็นผองชนผู้เป็นอมตะและเฉลียวฉลาด ทั้งที่คำว่า เอลฟ์ ในวรรณกรรมของโทลคีนมีความหมายแตกต่างไปคนละทางกับตำนานโบราณโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ เอลฟ์ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ในวรรณกรรมแฟนตาซีสมัยใหม่ และเป็นตัวละครพื้นฐานในเกมแฟนตาซียุคใหม่ด้วย
       พวกเอล์ฟตื่นขึ้นในยุคที่หนึ่งของ ยุคแห่งพฤกษา ที่ริมทะเลสาบ คุยวิเอเนน ทางตะวันออกของ มิดเดิ้ลเอิร์ธ เวลานั้นโลก อาร์ดา ยังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีแต่เพียงแสงสว่างจากแสงดาว พวกเอล์ฟจึงมองเห็นแสงดาวเป็นสิ่งแรก และหลงรักในแสงดาวเหล่านั้น
       เทพโอโรเม เป็น วาลาร์ องค์แรกที่มาพบการตื่นของพวกเอล์ฟ และนำข่าวกลับไปแจ้งยังวาลินอร์ ในยุคนั้น**วาลาร์ทั้งปวงอาศัยอยู่ที่วาลินอร์บน ทวีปอามัน ส่วน มิดเดิ้ลเอิร์ธตกอยู่ใต้การก่อความวุ่นวายของ เมลคอร์
        เมลคอร์ยังลอบจับตัวเอล์ฟบางคนไปทรมานและดัดแปลงให้กลายเป็น ออร์ค เหล่าวาลาร์จึงมีดำริให้พวกเอล์ฟอพยพมาอยู่ที่ทวีปอามันด้วยกัน เมื่อนั้นจึงเกิดเป็น การเดินทางครั้งใหญ่ ( The Great Journey ) เป็นเหตุให้เกิดการแบ่งชาติพันธุ์ของเอล์ฟเป็นกลุ่มต่างๆ
        คำว่า "เอลฟ์" ในภาษาอังกฤษ มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า ælf (บ้างเรียกว่า ylf) ซึ่งมาจากคำในตระกูลโปรโต-เยอรมันว่า *albo-z, *albi-z  ภาษานอร์สโบราณว่า álfr เยอรมันยุคกลางชั้นสูงว่า elbe ในตำนานอังกฤษยุคกลางนับถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถือว่า เอลฟ์ (elf) เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงจะเรียกว่า elven (ภาษาอังกฤษโบราณว่า ælfen ซึ่งมาจาก *albinnja)
       แต่รากคำดั้งเดิมยิ่งกว่านั้นน่าจะมาจากคำในภาษาตระกูล โปรโต-อินโด-ยู โรเปียน คือ *albh- ซึ่งมีความหมายว่า "ขาว" อันเป็นรากเดียวกันกับคำในภาษาละติน albus ที่แปลว่า "ขาว" อย่างไรก็ดีมีอีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่า คำนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ Rbhus นายช่างนักพยากรณ์ในตำนานเก่าแก่ของอินเดีย  แนวคิดนี้ดูหนักแน่นกว่ารากคำในภาษาละตินมาก
คำเรียกเอลฟ์แบบต่างๆ ในภาษากลุ่มเจอร์เมนิก นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ มีดังนี้
เจอร์เมนิกเหนือ
        o นอร์สโบราณ : álfr พหูพจน์ álfar
        o ไอซ์แลนด์ : álfar, álfafólk และ huldufólk (ชนผู้ซ่อนตัว)
        o เดนมาร์ก : Elver, elverfolk หรือ alfer (คำว่า alfer ในปัจจุบันแปลว่า ภูต (fairies))
        o นอร์เวย์ : alv, alven, alver, alvene / alvefolket
        o สวีเดน : alfer, alver หรือ älvor (สำหรับคำเพศหญิง)
เจอร์เมนิกตะวันตก
        o ดัตช์ : elf, elfen, elven, alven
        o เยอรมัน : Elf (ชาย) , Elfe (หญิง) , Elfen "fairies", Elb (ชาย, พหูพจน์ Elbe หรือ Elben) [เป็นคำสร้างขึ้นใหม่ ส่วน Elbe (หญิง) เป็นคำในภาษาเยอรมันยุคกลางชั้นสูง Alb Alp (ชาย) พหูพจน์ Alpe มีความหมายเหมือนกับ "incubus" (ภาษาเยอรมันโบราณชั้นสูงเรียก alp พหูพจน์ *alpî หรือ *elpî) * โกธิค : *albs, พหูพจน์ *albeis (โปรคอพิอุส นักปราชญ์ชาวโรมัน มีชื่อเดิมว่า Albila)
        เอล์ฟในตำนานยุโรปเหนือ หรือ North mythology นั้น เป็นตำนานพวกสแกนดิเวเนีย(ได้แก่ ไอซ์แลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก และนอร์เวย์) ซึ่งเอล์ฟของชาวยุโรปเหนือจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเรียกว่า "เอล์ฟสว่าง" กับอีกกลุ่มเรียกว่า "เอล์ฟมืด" ซึ่งพวกเอล์ฟมืดจะอยู่ใต้ดินและมีความชำนาญด้านโลหะ
         โลกแห่งเอล์ฟสว่าง ตามความเชื่อของชาวยุโรปเหนือนั้น โลกจะแบ่งออกเป็น 9 โลก โดยทั้ง 9โลก จะเชื่อมต่อกันด้วยพฤกษาขนาดใหญ่ที่มีนามว่า"อิกก์ดราซิลล์" โลกของเอล์ฟสว่างมีชื่อว่า "อัลฟ์ไฮม์" ซึ่งอยู่สูงกว่า "มิดโกร์ด" หรือโลกมนุษย์ ว่ากันว่าอัลฟ์ไฮม์อยู่ใกล้เคียงกับ "อัสโกร์ด" หรือดินแดนเทพของ"แอร์ซิร์" ซึ่งเป็นเผ่าเทพที่ทรงอำนาจที่สุด ถ้าจะให้สรุปก็คือเอล์ฟสว่างน่าจะมีระดับที่สูงรองลงมาจากระดับเทพนั่นเอง
         เอล์ฟสว่างมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ มีความสวยงามทั้งชายหญิง แต่เอล์ฟสว่างบทบาทในตำนานยุโรปเหนือนั้นแทบไม่ได้รับการใส่รายละเอียดเท่าไหร่เลย รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่มีระบุว่าเชี่ยวชาญด้านใดเป็นพิเศษ ในวันสำคัญอย่างวัน Ragnarok ซึ่งเป็นวันสงครามวันล้างโลกของชาวยุโรปเหนือ เรื่องราวส่วนใหญ่ไปจับอยู่กับการสู้กันระหว่างเทพกับมารมากกว่าจะเจาะลึกไปถึงพวกเอล์ฟด้วย
        โลกของเอล์ฟมืดนั้นมีชื่อว่า "สวาร์ทัลฟ์ไฮม์" ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นแล้วว่าโลกของเอล์ฟมืดอยู่ใต้ดิน ซึ่งอยู๋ใต้โลกมนุษย์ แต่ยังไปไม่ถึง "นิฟล์ไฮม์" หรือโลกแห่งนรก บางครั้งพวกเอล์ฟมืดก็ถูกระบุว่ามีลักษณ์คล้ายคนแคระ ตรงส่วนนี้ยังเป็นที่สับสนค่อนข้างมาก เพราะตำนานทางยุโรปเหนือก็มีการรุบุถึงคนแคระไว้อยู่แล้ว โดยโลกของคนแคระนั้นมีชื่อว่า "นิดาเวลลิร์" ซึ่งน่าจะอยู่ใกล้กับ "สวาร์ทัลฟ์ไฮม์" ของพวกเอล์ฟมืดของตำนานยุโรปเหนือ ซึ่งแสงแดด สำหรับพวกเอล์ฟมืดแล้วถือเป็นสิ่งมีพิษมีภัยทีเดียว เพราะจะทำให้มันทรมานและกลายเป็นหินได้
 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น