เอลฟ์( Elf )
จากตำนานกล่าวว่า เอลฟ์ - Elf หรือ พรายคือสิ่งมีชีวิตในตำนานของนอร์ส
ซึ่งว่ากันว่าอาศัยอยู่ตามภาคเหนือของยุโรป เอลฟ์ส่วนมากจะมีรูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงามอยู่ตามป่าเขาธรรมชาติ
พวกเขาจะถูกกล่าวว่าเป็นอมตะ และมีเวทมนตร์
นอกจากจะถูกกล่าวถึงในตำนานเทพเจ้าสแกนดิเนเวียแล้ว เอลฟ์ยังถูกกล่าวถึงในที่อื่นๆด้วย
โดยเฉพาะในเรื่องที่ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เขียน เอลฟ์จะมีสายตาดีมองเห็นได้กว้างไกล
และมักใช้ธนูเป็นอาวุธ
เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ดีงาม
เป็นอมตะ ทรงภูมิปัญญาและเป็นมิตรที่ดีของมนุษย์ ในเรื่องความเป็นอมตะนั้น
โทลคีนได้อธิบายว่า พวกเอลฟ์สามารถถูกฆ่าตายได้
หากแต่วิญญาณจะกลับมาเข้าร่างใหม่ที่เหมือนกับร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำที่ต่อเนื่องจากเดิม
ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งสำหรับพวกเอลฟ์ใน ก็คือเอลฟ์ในเรื่องนี้จะมีรูปร่างสูงใหญ่สง่างาม
ผิดจากเอลฟ์ในนิทานพื้นบ้านยุโรปที่จะเป็นมนุษย์แคระตัวเท่าเด็ก หรือเอลฟ์ใน แฮรี
พอตเตอร์ ที่ดูเหมือนสัตว์ประหลาด
ทั้งนี้โทลคีนสร้างเอลฟ์ขึ้นมาจากความเชื่อดั้งเดิมของชาวยุโรปในยุคก่อนหน้า
ที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามามีบทบาท ในความเชื่อดั้งเดิมนั้น เอลฟ์คือเผ่าพันธุ์
กึ่งมนุษย์กึ่งเทพเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต่ำกว่าเทพแต่เหนือกว่ามนุษย์
ดังนั้นเอลฟ์จึงมีลักษณะสูงใหญ่และสง่างาม ต่อมา เมื่อความเชื่อในศาสนาคริสต์เข้ามาในยุโรป
ความคิดที่ว่ามีเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่ามนุษย์จึงหมดไป
และเอลฟ์ก็ถูกลดขนาดลงอย่างที่เห็น ในเกมคอมพิวเตอร์ และในหนังผจญภัยต่าง ๆ ก็มักมีเรื่องของเอลฟ์ปรากฏอยู่
ตำนานโบราณบางแห่งได้บันทึกเรื่องราวของภูตพวกเอลฟ์ตนหนึ่ง
นางเอลฟ์ผู้นี้คลุมร่างด้วยผ้าไหมและเป็นสตรีร่างเล็ก ๆ
ที่สวยงามที่สุดเท่าที่คนเคยพบ
กษัตริย์เฮลกิออกไปเที่ยวป่าได้พบภูตตนนี้เข้าจึงถึงกับอดใจไม่ไหว
เอลฟ์ในนิยายปรัมปรามักอาศัยอยู่ในลำนำพื้นบ้าน
ส่วนใหญ่มักเป็นภูตเพศหญิงชาวสวีเดนก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเอลฟ์
ว่าเป็นเหล่าภูตเด็กหญิงผู้งดงามน่าตื่นตะลึง อาศัยอยู่ในป่ากับกษัตริย์เอลฟ์
พวกเอลฟ์มีอายุยืนยาวมาก และมักรื่นเริงไร้แก่นสาร วัน ๆ จะร้องเพลง
ร่ายรำไปอย่างมีความสุข แต่บางที่ก็บอกว่าเอลฟ์จะดูร้ายเกรี้ยวกราดหากถูกบุกรุก
ปกติแล้วจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าถูกทำให้โมโหก็จะตอบโต้อย่างน่ากลัว
แม้จะมีร่างเล็ก แต่ก็มีมนุษย์ที่หลงรักภูตเอลฟ์
สายเลือดผสมระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์จึงเริ่มต้นมาจากความเชื่อเก่าแก่ในตำนานนอร์สโบราณ
เมื่อมีราชินีชาวมนุษย์ผู้หนึ่ง
ได้รักกับภูตเอลฟ์และได้เสียกันจนให้กำเนิดวีรบุรุษคนหนึ่ง ชื่อ ฮอกนีย์
ส่วนนางเอลฟ์ซึ่งถูกกษัตริย์เฮลกิขืนใจให้กำเนิดธิดานามว่า สกุลด์ ในมหากาพย์
หลายเรื่องของตะวันตกเล่าว่าพวกที่สืบทอดเชื้อสายมาจากเอลฟ์มักจะเป็นผู้ที่งดงามยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป
แต่พวกเอลฟ์ในตำนานของเดนมาร์กจะแต่ต่างไปอีกแบบ
เพราะบันทึกไว้ว่าพวกเอลฟ์เป็นภูตตัวเล็กมีปีกเหมือนแมลงตัวเล็ก ๆ เคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ
เอลฟ์แห่งกุหลาบ ซึ่งหมายถึง พวกที่มีตัวเล็กมากจนสามารถใช้ดอกกุหลาบเป็นบ้านได้
ในนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ ของเดนมาร์ก เล่าถึงเอลฟ์ว่า
เป็นภูตสาวผู้สวยงามอาศัยอยู่ตามเนินเขา
นางจะสามารถเต้นรำกับชายหนุ่มจนกระทั่งเขาสิ้นใจตาย
ว่ากันว่า
ถ้ามนุษย์ใดหลงเข้าไปในป่าลึกแล้วไปแอบดูพวกเอลฟ์เริงระบำกันอยู่นั้น
ช่วงเวลาที่เฝ้ามองการเริงระบำของพวกเอลฟ์มนุษย์จะรู้สึกว่าตนกำลังแลดูการเต้นรำนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง
แต่ทว่าความเป็นจริงเวลาได้ล่วงผ่านไปนานหลายปีเชียวล่ะ
ความสัมพันธ์ระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์ที่น่าเศร้ามีปรากฎในวรรณกรรมของ เรื่อง
ชิลมาริลลิออน ชายหนุ่มผู้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ได้รับเชิญจากราชินีเอลฟ์ให้ไปเต้นรำด้วยกันในงานเลี้ยง
แต่เขาปฎิเสธเพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเขาเข้าร่วมการเต้นรำนั้น
วันต่อมาขณะที่เขากำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อไปงานวิวาห์ของตนเอง ราชินีเอลฟ์เสนอของขวัญให้แก่เขา
แต่เขาปฎิเสธ นางจึงขู่จะฆ่าเขาหากเขาไม่ยอมเต้นรำกับนาง เขารีบขี่ม้าหนีไป
แต่ก็ต้องตายด้วยโรคร้ายที่ราชินีเสกมนตร์ส่งโรคร้ายให้ติดตามไปเจ้าสาว
ของเขาทราบข่าวก็หัวใจสลายและตรอมใจตายเขาไปด้วย
ทางฝั่งเยอรมันเล่าเรื่องภูตเอลฟ์ว่า
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ส่องสว่างอาศัยอยู่บนสวรรค์
บ้างก็ว่าพวกเอลฟ์ว่าเป็นภูตที่ซุกซนชอบเล่นแผลง ๆ
นำความเจ็บป่วยมายังผู้คนและสัตว์เลี้ยง
บางครั้งก็นำเอาฝันร้ายมาให้ผู้ที่กำลังนอนหลับด้วยสมัยก่อนในสแกนดิเนเวีย
เวลาใครเจอผีอำ คือ รู้สึก เหมือนโดนทับที่หน้าอกจนขยับตัวไม่ได้
ก็จะโทษว่าเป็นเพราะภูตเอลฟ์มานั่งทับ
ทางอังกฤษเล่าเรื่องเอลฟ์ว่าเป็นภูตที่มีแต่เงา ร่างเป็นแสงสว่าง
มีทั้งเอลฟ์สว่างและเอลฟ์มืด สามารถหายตัวได้ และเป็นภูตที่ฉลาดรอบรู้มาก
อย่างไรก็ดี เอลฟ์เป็นภูตที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ในหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์มีพวกเอลฟ์เป็นภูตที่เป็นเหมือนสัตว์ประหลาด
ในขณะที่หนังและเกมส์ต่าง ๆ ก็แสดงตัวตนของเอลฟ์ว่าเป็นภูตร่างเล็ก
ที่ไม่มีพิษภัยกับมนุษย์
ส่วนตำนานของดาร์คเอลฟ์กล่าวว่า ดาร์คเอลฟ์กก็คือเอลฟ์ที่ใช้ความมืดมากกว่าเวทย์มนต์ด้านแสงสว่าง
พวกดาร์คเอลฟ์ส่วนมากจะฉลาดแกมโกงแถมยังมีนิสัยเจ้าเลห์
โดยปกติมักจะซ่อนตัวอยู่ภายในป่ามืด
ดาร์คเอลฟ์แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า
" บราวน์เอลฟ์ " และเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อสายเอลฟ์
แต่ถูกเนรเทศเนื่องจากบราวน์เอลฟ์ร่ำเรียนแต่มนต์ดำเพื่อไปต่อสู้กับมนุษย์
แม้ว่าจะแพ้สงครามในคราวนั้นแต่ก็ยังคงร่ำเรียนมนต์ดำกันอยู่และอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านอาร์ซินเลส
อาณาจักรวิจิตรตระการตาที่สร้างกันใต้ดิน
ดาร์คเอลฟ์มีลักษณะคล้ายเอลฟ์
เพียงแต่มีสีผิวเข้มเนื่องจากกำเนิดจากเทพแห่งวายุและ บูชาเทพแห่งวายุใต้ดิน
ดาร์คเอลฟ์หญิงมีลักษณะสวยงามมากๆหน้าตาเข้มโฉบเฉียว ดูลึกลับและเย่อหยิ่ง
มีบุคลิกสง่างาม มีสรีระที่ชายทุกเผ่าพันธุ์หลงใหล
ดาร์คเอลฟ์มีสามารถพิเศษต่างๆคล้ายเอลฟ์
คือกลั้นหายใจในน้ำได้ดี คล่องแคล่ว ว่องไว และมีไหวพริบที่ดีมาก
แต่เนื่องจากดาร์คเอลฟ์มีการฝึกฝนอย่างหนัก และค่อนข้างโหดร้าย
จึงทำให้ดาร์คเอลฟ์มีพลังอำนาจทั้งการต้านเวทย์มนต์จากศัตรูและการร่ายเวทย์ที่มีอนุภาพรุนแรงเฉียบขาดกว่าเอลฟ์และเผ่าพันธุ์ใด
ๆ แต่ข้อเสียคือแทบจะไม่มีเวทย์มนต์รักษาเลย
บางตำนานกล่าวว่า
เอลฟ์
ตามความหมายในจินตนิยายชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทพอิลูวาทาร์ มีชีวิตยืนยาวเท่ากับอายุของโลก
จึงเสมือนหนึ่งว่าเป็นอมตะ คำว่า 'เอลฟ์' (Elf) เป็นคำที่โทลคีนเลือกมาจากตำนานโบราณเพื่อใช้แทนคำศัพท์แท้จริงอันเป็นชื่อของชนเผ่านี้
คือ เอลดาร์ (Eldar) ซึ่งเป็นคำในภาษาเควนยา หมายถึง 'ประชากรแห่งแสงดาว'
โทลคีนมักกล่าวเสมอว่า
การตั้งชื่อต่าง ๆ ในผลงานของเขา
มีเหตุจากรากฐานของเสียงและคำศัพท์ในภาษาเฉพาะที่เขาประดิษฐ์ขึ้น คือภาษาเควนยา
และภาษาซินดาริน อย่างไรก็ดีคำศัพท์เหล่านั้นมักพ้องเสียงกับรูปภาษาโบราณอื่น ๆ
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเก่า (Old English) การศึกษาผลงานของโทลคีนโดยพิจารณารากศัพท์ในภาษาอังกฤษเก่า
ช่วยให้เข้าใจจุดมุ่งหมายในการประพันธ์ของโทลคีนมากขึ้น
เอลฟ์
ในผลงานของโทลคีน สื่อถึงอารยะธรรมอันเก่าแก่ ความทรงภูมิปัญญา และความดีงามของโลก
ซึ่งส่วนหนึ่งสืบทอดไหลเวียนอยู่ในร่างกายมนุษย์
โทลคีนสื่อความหมายนี้โดยการประพันธ์ให้เผ่าพันธุ์เอลฟ์ ได้วิวาห์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์
มนุษย์ในยุคหลังจึงมีสายเลือดของเอลฟ์ผสมอยู่
ตามปกรณัมของ เจ.
อาร์. อาร์. โทลคีน การตื่นของเอลฟ์
เป็นจุดเริ่มต้นนับยุคที่หนึ่งของยุคแห่งพฤกษาพวกเอลฟ์เล่าสืบต่อกันมาว่า
พวกเขาตื่นขึ้นที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ในดินแดนไกลโพ้นทางฟากตะวันออกของทวีปมิดเดิลเอิร์ธ
กลุ่มที่ตื่นขึ้นเป็นกลุ่มแรกคือชาววันยาร์ กลุ่มที่สองคือ โนลดอร์
และกลุ่มที่สามคือชาวเทเลริ เวลานั้นโลกอาร์ดายังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
มีแต่เพียงแสงสว่างจากแสงดาว พวกเอลฟ์จึงมองเห็นแสงดาวเป็นสิ่งแรก และหลงรักในแสงดาวเหล่านั้น
เมลคอร์ เป็นคนแรกที่ล่วงรู้ถึงการตื่นของเหล่าเอลฟ์
จึงลอบมาทำร้ายและจับตัวพวกเอลฟ์ไปทรมาน บ้างเชื่อกันว่านี่เป็นที่มาของพวกออร์ค
คือการที่เมลคอร์เอาตัวพวกเอลฟ์ไปทรมานจนวิกลวิการ
เป็นการทำลายสิ่งประดิษฐ์แสนวิเศษของอิลูวาทาร์
เมื่อเทพโอโรเมเสด็จประพาสมิดเดิลเอิร์ธคราวหนึ่ง
จึงมาพบพวกเอลฟ์เข้า เหล่าวาลาร์
จึงมีดำริให้ชักชวนพวกเอลฟ์ให้เดินทางไปอยู่ด้วยกันกับพวกพระองค์ที่วาลินอร์
เพื่อให้รอดพ้นจากการรังควานของเมลคอร์ เกิดเป็นการอพยพครั้งใหญ่ของเอลฟ์
ซึ่งเป็นจุดแบ่งกลุ่มตระกูลของเอลฟ์อีกมากมายในเวลาต่อมา
การแบ่งชาติพันธุ์ของเอลฟแบ่งได้เป็นกลุ่มดังต่อไปนี้
แบ่งตามการเข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่
อวาริ : 'ผู้ปฏิเสธ' คือพวกที่ไม่ได้เข้าร่วมการเดินทางครั้งใหญ่
เอลดาร์ : เอลฟ์แห่งแสงดาว
ซึ่งเดิมเป็นชื่อเรียกเอลฟ์ทั้งหมด ต่อมาใช้เรียกพวกที่เข้าร่วมการเดินทางเท่านั้น
แบ่งตามการเดินทางไปถึงอามัน
อามันยาร์ : เอลฟ์ที่ไปถึงอามัน
อูมันยาร์ : เอลฟ์ที่ไปไม่ถึงอามัน
แบ่งตามการได้เห็นแสงแห่งพฤกษา
คาลาเควนดิ : เอลฟ์แห่งแสงสว่าง
คือพวกที่ได้เห็นแสงแห่งพฤกษา
มอริเควนดิ : เอลฟ์แห่งความมืด
คือพวกที่ไม่ได้เห็นแสงแห่งพฤกษา
บางที่ก็กล่าวว่า เอลฟ์ คือสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์สและตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศเจอร์เมนิก
(สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) เมื่อแรกเริ่ม แนวคิดเกี่ยวกับพวกเอลฟ์คือ
"ชนเผ่าที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์
ภาพวาดของชนเหล่านี้มักเป็นมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่แลดูอ่อนเยาว์และงดงาม
อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ ใต้พื้นดิน หรือตามบ่อน้ำและตาน้ำพุ
มักเชื่อกันว่าพวกเขามีชีวิตยืนยาวมากหรืออาจเป็นอมตะ
รวมทั้งมีพลังเวทมนตร์วิเศษ"
แต่หลังจาก
ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผลงานอันโด่งดังของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏออกมา
ภาพของเอลฟ์ก็กลายเป็นผองชนผู้เป็นอมตะและเฉลียวฉลาด ทั้งที่คำว่า เอลฟ์
ในวรรณกรรมของโทลคีนมีความหมายแตกต่างไปคนละทางกับตำนานโบราณโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้
เอลฟ์ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ในวรรณกรรมแฟนตาซีสมัยใหม่
และเป็นตัวละครพื้นฐานในเกมแฟนตาซียุคใหม่ด้วย
พวกเอล์ฟตื่นขึ้นในยุคที่หนึ่งของ ยุคแห่งพฤกษา
ที่ริมทะเลสาบ คุยวิเอเนน ทางตะวันออกของ มิดเดิ้ลเอิร์ธ เวลานั้นโลก อาร์ดา
ยังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีแต่เพียงแสงสว่างจากแสงดาว
พวกเอล์ฟจึงมองเห็นแสงดาวเป็นสิ่งแรก และหลงรักในแสงดาวเหล่านั้น
เทพโอโรเม เป็น
วาลาร์ องค์แรกที่มาพบการตื่นของพวกเอล์ฟ และนำข่าวกลับไปแจ้งยังวาลินอร์
ในยุคนั้น**วาลาร์ทั้งปวงอาศัยอยู่ที่วาลินอร์บน ทวีปอามัน ส่วน
มิดเดิ้ลเอิร์ธตกอยู่ใต้การก่อความวุ่นวายของ เมลคอร์
เมลคอร์ยังลอบจับตัวเอล์ฟบางคนไปทรมานและดัดแปลงให้กลายเป็น
ออร์ค เหล่าวาลาร์จึงมีดำริให้พวกเอล์ฟอพยพมาอยู่ที่ทวีปอามันด้วยกัน
เมื่อนั้นจึงเกิดเป็น การเดินทางครั้งใหญ่ ( The Great Journey ) เป็นเหตุให้เกิดการแบ่งชาติพันธุ์ของเอล์ฟเป็นกลุ่มต่างๆ
คำว่า
"เอลฟ์" ในภาษาอังกฤษ มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า ælf
(บ้างเรียกว่า ylf) ซึ่งมาจากคำในตระกูลโปรโต-เยอรมันว่า
*albo-z, *albi-z ภาษานอร์สโบราณว่า
álfr เยอรมันยุคกลางชั้นสูงว่า elbe ในตำนานอังกฤษยุคกลางนับถึงคริสต์ศตวรรษที่
14 ถือว่า เอลฟ์ (elf) เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงจะเรียกว่า elven
(ภาษาอังกฤษโบราณว่า ælfen ซึ่งมาจาก *albinnja)
แต่รากคำดั้งเดิมยิ่งกว่านั้นน่าจะมาจากคำในภาษาตระกูล โปรโต-อินโด-ยู
โรเปียน คือ *albh- ซึ่งมีความหมายว่า "ขาว"
อันเป็นรากเดียวกันกับคำในภาษาละติน albus ที่แปลว่า
"ขาว" อย่างไรก็ดีมีอีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่า คำนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ
Rbhus นายช่างนักพยากรณ์ในตำนานเก่าแก่ของอินเดีย แนวคิดนี้ดูหนักแน่นกว่ารากคำในภาษาละตินมาก
คำเรียกเอลฟ์แบบต่างๆ
ในภาษากลุ่มเจอร์เมนิก นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ มีดังนี้
เจอร์เมนิกเหนือ
o นอร์สโบราณ : álfr
พหูพจน์ álfar
o ไอซ์แลนด์ : álfar,
álfafólk และ huldufólk (ชนผู้ซ่อนตัว)
o เดนมาร์ก : Elver,
elverfolk หรือ alfer (คำว่า alfer ในปัจจุบันแปลว่า ภูต (fairies))
o นอร์เวย์ : alv,
alven, alver, alvene / alvefolket
o สวีเดน : alfer,
alver หรือ älvor (สำหรับคำเพศหญิง)
เจอร์เมนิกตะวันตก
o ดัตช์ : elf,
elfen, elven, alven
o เยอรมัน
: Elf (ชาย) , Elfe (หญิง) ,
Elfen "fairies", Elb (ชาย, พหูพจน์
Elbe หรือ Elben) [เป็นคำสร้างขึ้นใหม่
ส่วน Elbe (หญิง) เป็นคำในภาษาเยอรมันยุคกลางชั้นสูง Alb
Alp (ชาย) พหูพจน์ Alpe มีความหมายเหมือนกับ
"incubus" (ภาษาเยอรมันโบราณชั้นสูงเรียก alp
พหูพจน์ *alpî หรือ *elpî) * โกธิค : *albs, พหูพจน์ *albeis (โปรคอพิอุส นักปราชญ์ชาวโรมัน มีชื่อเดิมว่า Albila)
เอล์ฟในตำนานยุโรปเหนือ
หรือ North mythology นั้น เป็นตำนานพวกสแกนดิเวเนีย(ได้แก่
ไอซ์แลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก และนอร์เวย์)
ซึ่งเอล์ฟของชาวยุโรปเหนือจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเรียกว่า
"เอล์ฟสว่าง" กับอีกกลุ่มเรียกว่า "เอล์ฟมืด"
ซึ่งพวกเอล์ฟมืดจะอยู่ใต้ดินและมีความชำนาญด้านโลหะ
โลกแห่งเอล์ฟสว่าง
ตามความเชื่อของชาวยุโรปเหนือนั้น โลกจะแบ่งออกเป็น 9 โลก โดยทั้ง 9โลก
จะเชื่อมต่อกันด้วยพฤกษาขนาดใหญ่ที่มีนามว่า"อิกก์ดราซิลล์" โลกของเอล์ฟสว่างมีชื่อว่า
"อัลฟ์ไฮม์" ซึ่งอยู่สูงกว่า "มิดโกร์ด" หรือโลกมนุษย์
ว่ากันว่าอัลฟ์ไฮม์อยู่ใกล้เคียงกับ "อัสโกร์ด"
หรือดินแดนเทพของ"แอร์ซิร์" ซึ่งเป็นเผ่าเทพที่ทรงอำนาจที่สุด
ถ้าจะให้สรุปก็คือเอล์ฟสว่างน่าจะมีระดับที่สูงรองลงมาจากระดับเทพนั่นเอง
เอล์ฟสว่างมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์
มีความสวยงามทั้งชายหญิง
แต่เอล์ฟสว่างบทบาทในตำนานยุโรปเหนือนั้นแทบไม่ได้รับการใส่รายละเอียดเท่าไหร่เลย
รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่มีระบุว่าเชี่ยวชาญด้านใดเป็นพิเศษ ในวันสำคัญอย่างวัน Ragnarok
ซึ่งเป็นวันสงครามวันล้างโลกของชาวยุโรปเหนือ
เรื่องราวส่วนใหญ่ไปจับอยู่กับการสู้กันระหว่างเทพกับมารมากกว่าจะเจาะลึกไปถึงพวกเอล์ฟด้วย
โลกของเอล์ฟมืดนั้นมีชื่อว่า "สวาร์ทัลฟ์ไฮม์"
ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นแล้วว่าโลกของเอล์ฟมืดอยู่ใต้ดิน
ซึ่งอยู๋ใต้โลกมนุษย์ แต่ยังไปไม่ถึง "นิฟล์ไฮม์" หรือโลกแห่งนรก
บางครั้งพวกเอล์ฟมืดก็ถูกระบุว่ามีลักษณ์คล้ายคนแคระ
ตรงส่วนนี้ยังเป็นที่สับสนค่อนข้างมาก
เพราะตำนานทางยุโรปเหนือก็มีการรุบุถึงคนแคระไว้อยู่แล้ว
โดยโลกของคนแคระนั้นมีชื่อว่า "นิดาเวลลิร์" ซึ่งน่าจะอยู่ใกล้กับ
"สวาร์ทัลฟ์ไฮม์" ของพวกเอล์ฟมืดของตำนานยุโรปเหนือ ซึ่งแสงแดด
สำหรับพวกเอล์ฟมืดแล้วถือเป็นสิ่งมีพิษมีภัยทีเดียว
เพราะจะทำให้มันทรมานและกลายเป็นหินได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น