แวมไพร์ (Vampire)
แวมไพร์ (Vampire) เป็นผีดิบชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรปในยุคกลาง
มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วๆไป แต่มีฟันแหลมคมและชอบดื่มเลือดของมนุษย์เป็นอาหาร
แวมไพร์มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย แต่ปรากฏตัวได้เฉพาะเวลากลางคืนนั้นเนื่องจาแพ้เเสงแดด
โดยทั่วไปแวมไพร์จะหลบซ่อนอยู่ในโลงของตนหรือในหลุมเวลากลางวัน และสามารถแปลงร่างได้หลายแบบ
เช่น ค้างคาว, นกฮูก, หมาป่า, กบ, คางคก, แมลงเม่า, งูพิษ สามารถกำบังกายหายตัวได้ แวมไพร์ จะไม่มีเงาเมื่อกระทบกับแสงหรือสะท้อนในกระจก และมีแรงมากเหมือนผู้ชาย
20 คน แวมไพร์กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา
เช่น ไม้กางเขน, น้ำมนตร์
หรือแม้กระทั่งสมุนไพรกลิ่นแรงบางชนิด เช่น กระเทียม โดยวิธีฆ่าแวมไพร์นั้นมีมากมายเช่น
ตอกลิ่มให้ทะลุหัวใจ เผา หรือ ตัดหัวด้วยจอบของสัปเหร่อ
บุคคลที่ตกเป็นเหยื่อโดยแวมไพร์ดูดเลือดจะกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วยและกลายเป็นสาวกของแวมไพร์ตนที่ดูดเลือดตัวเอง
ชาวยุโรปในยุคกลางนั้น หวาดกลัวแวมไพร์เป็นอย่างมาก และผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นแวมไพร์นั้นจะถูกตัดสินลงโทษด้วยประหารชีวิต
ซึ่งมนุษย์เองก็มีวิธีการป้องกันการรุกรานของแวมไพร์อยู๋หลากหลายวิธี
อย่างเช่น บางหมู่บ้านจะโปรยเมล็ดข้าวไว้บนหลังคาบ้าน
เพราะเชื่อว่าแวมไพร์จะใช้เวลาไปกับการนับเมล็ดข้าวเป็นการถ่วงเวลาจนรุ่งเช้า หรือ
โรยเศษขนมปังไว้ที่สุสานเพื่อให้แวมไพร์เดินวนเวียนไปมาภายในนั้น
หรือแม้แต่การวางไม้กางเขน หรือ ดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมเพื่อเป็นการพันธนาการแวมไพร์
ไว้ในโลง
เรื่องราวของแวมไพร์มีมากมายที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรมโดยวรรณกรรมที่ว่าถึงแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุด
มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแวมไพร์คือ เรื่อง
เค้าท์แดร็กคูล่าร์ ของ บราม สโตกเกอร์ ที่โด่งดังจนมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร
ละครเวที หรือแม้กระทั่งการ์ตูนมากมายตราบจนปัจจุบัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี ค.ศ. 1922 เป็นต้น
เป็นไปได้ว่าความเชื่อเรื่องของแวมไพร์ที่สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาวได้นั้น
อาจมีที่มาจากทวีปอเมริกากลางที่มีค้างคาวขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่ค่อยดูดเลือดของสัตว์ที่ใหญ่กว่าเป็นอาหารในเวลากลางคืน
ซึ่งค้างคาวชนิดนี้ก็ได้มีการเรียกชื่อว่า แวมไพร์ เช่นกัน
ผีดูดเลือด
หรือ แวมไพร์ (Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปิศาจ
แม้ว่า ผีดูดเลือดจะอยู่ในร่างของมนุษย์ แต่มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่เลย
มันคือคนที่ตายไปแล้วและกลับมาชีวิตใหม่โดยการดูดเลือดเป็นอาหาร แวมไพร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในอาณาจักรบาบิโลเนีย
ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับแวมไพร์
มากมายใน อินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และประเทศไทยของเราเอง
ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับแวมไพร์ เช่นกัน
ในประเทศมาเลเซีย
เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะที่กำลังคลอดลูกหรือหลังคลอดลูกนั้น
จะกลายเป็นผีดูดเลือดและลูกที่ตายพร้อมกัน ก็จะกลายเป็นผีดูดเลือดด้วย
ส่วนของไทยก็เห็นจะเป็น กระสือ หรือปอบ ตามที่เรารู้จัก ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนามของ
แวมไพร์ ปรากฏที่ประเทศอังกฤษครั้งแรกในปี พ.ศ. 2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ ชาวเซอร์เบีย (Serbian : แคว้นในยูโกสลาเวีย)
ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารใน กรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้นมีชื่อว่า
อาร์โนลด์ เปาเล (Arnold Paole) โดยที่เปาเล ได้ยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า
เขาโดน แวมไพร์ ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็นแวมไพร์ ไปด้วย เปาเล
ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่
ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่า มีรอยเลือดอยู่ที่ปาก การที่จะพิสูจน์ว่า เป็น
แวมไพร์ หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของ เปาเล
ถูกพิสูจน์และด้วยความประหลาดใจ
ในขณะที่ตอกหมุดนั้นมีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของ เปาเล
ถูกเผาตามขั้นตอนของพิธีกรรมทางความเชื่อ แต่หลายปีต่อมาก็ยังคงมีกรณีของแวมไพร์ตัวอื่นอยู่ซึ่งเชื่อว่า
เป็นเหยื่อของ เปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด
บันทึกในปี
พ.ศ.2306
ของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) กล่าวว่า "ในปีนั้นมีพยานหลายคนทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวช และพนักงานปกครอง
ได้พบเห็น แวมไพร์" เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม
จนกระทั่งในต้นพุทธศักราช ที่ 24 แวมไพร์ ก็กลายเป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง
โดยมีทั้งเพศชายและเพศหญิง แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน
และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยการใช้กระเทียม การเป็น
แวมไพร์นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจ และก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปีศาจหรือเวทมนตร์
แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย และบุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นหรือมีการตายอย่างแปลกประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า
เป็นแวมไพร์อย่างแน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้ายแวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที
การกำจัดแวมไพร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน
ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น
แวมไพร์ โดยความเชื่อของชาวโรมันให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์
หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล
ปลายพุทธศักราชที่
19 นักเขียนชาว ไอริช
เมื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง
แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งที่แปลว่า
ผีดูดเลือดแดรกคูลา เป็นลูกชายของ แดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้ายทารุณ
แดรกคูล เป็นสมญานามที่แปลว่า ปีศาจ
ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า
ลูกชายของปีศาจในนิยาย แดรกคูลา เกิดในทรานซิลวาเนีย (Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา “ทรงสร้างศัตรูไว้มากมาย
และมีการตายอย่างลึกลับ โดยที่ไม่มีใครพบเห็นศพ และไม่ได้ถูกฝังตามพิธี” จนปัจจุบันเรื่องราวของ แวมไพร์ ก็ยังคงน่าหลงใหล และน่าหวาดกลัว
มีผู้คนที่เชื่อว่าแวมไพร์มีอยู่จริง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีศูนย์วิจัยแวมไพร์ในนิวยอร์ก
ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแวมไพร์ ทั้งในยุโรปและอเมริกาอีกด้วย
แวมไพร์สามารถแบ่งเป็นชนิดต่างๆได้ดังนี้
1. อีคิมมู คือ
แวมไพร์โบราณประจำอาณาจักรเมโสโปเตเมีย มีพลังจิตสูงฆ่ามนุษย์ด้วยการควบคุมจิตใจให้มนุษย์ฆ่าตัวตาย
2. กูล์ (Ghoul)
หรือ ปอบ กินซากศพเป็นอาหาร จู่โจมมนุษย์เป็นบางครั้ง และถ้าหากกูล์ถูกฆ่าก็จะกลายเป็นแวมไพร์
3. รักซาช่า (เพศผู้)
รักซาชี่ (เพศเมีย) คือ ตัวประหลาดมีเขี้ยว มีขา 5
ขาคอยสูบกินเลือดของศพในความเชื่อของชาวอินเดีย
4. แลงเชอร์ (Langsuir)
คือ แวมไพร์ของประเทศมาเลเซียเชื่อกันว่า หากระหว่างทำคลอดหรือระหว่างที่ให้กำเนิดทารกนั้นมารดากลับเสียชีวิตไป
ส่วนทารกนั้นยังมีชีวิตอยู่ เด็กทารกนั้นก็จะกลายเป็นแลงเชอร์ในอนาคต
5. พีแนงกาลาน คือ
แวมไพร์ที่ล่องลอยไปตามสายลม และส่งเสียงครวญครางน่าหวาดหวั่นเหนือหลังคาบ้านของผู้ที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ
เพื่อหวังจะได้ลงไปขโมยทารกเพื่อดื่มเลือดกิน
6. ฮันตู ซาบูโร (Huntu
Saburo) คือ แวมไพร์ของประเทศอินเดียที่มีอำนาจสามารถควบคุมเหล่าสุนัขให้เข้าสังหารมนุษย์ได้
7. ฮันตู โดดอง (Huntu
Dodong) คือ แวมไพร์ของประเทศอินเดียที่อาศัยอยู่ตามถํ้า
คอยดักจับมนุษย์ไปเป็นอาหาร
8. ฮันตู พาร์ล (Huntu
Parl) คือ แวมไพร์ของประเทศอินเดียที่คอยจ้องเล่นงานสัตว์หรือมนุษย์ที่บาดเจ็บ
9. ชางเชีย (Chiang-shin)
คือ แวมไพร์จีนที่มีความสามารถทางด้านร่างกายสูง มีพละกำลังมหาศาล
ว่องไว และบินได้
10. กัปปะ (Kappa)
คือ แวมไพร์ญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในนํ้า
คอยดักผู้คนหรือสัตว์ที่ผ่านมาและลากลงไปในนํ้าเพื่อดูดกินเลือดเป็นอาหาร
11. ยารามายาฮู (Yara-ma-yha-who)
คือ ผีดิบที่อาศัยอยู่แถบพื้นเมืองของออสเตเรีย
มีรูปร่างแคระอาศัยอยู่ในโพรงมะเดื่อ
คอยดักกระโดดลงมาจู่โจมคนที่ผ่านมาเพื่อดูดเลือดกินเป็นอาหาร
12. โอบายิโฟ (Obayifo)
คือ ผีดิบถอดร่างของชาวแอฟริกาซึ่งมีตัวจริงคือ
เหล่าพ่อมดหมอผีพื้นเมืองที่จะทำการถอดร่างไปโจมตีเป้าหมาย
13. อะซาซาบอนซัม (Asasabonsam)
คือ ผีดิบอีกชนิดหนึ่งของแอฟริกาที่คอยแอบซุ่มโจมตี
และมีฟันเป็นโลหะที่คมเหมือนฟันฉลาม
14. ลาเมีย (Lamia)
คือ แวมไพร์กรีกโบราณที่มีรูปร่างเป็นงูครึ่งท่อนล่าง
ที่จะคอยเลื้อยไปจับเด็กเล็กๆมาดูดเลือดกินเป็นอาหาร
15. วริคโคลัคคาส (Vrykolakas)
คือ แวมไพร์ตามความเชื่อของชาวกรีกที่เกิดจากผู้ที่ถูกขับไล่ไสส่งออกจากศาสนา
เมื่อตายก็จะกลายเป็นผีดิบ โดยมักจะเริ่มจู่โจมคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน
พอไปถึงหน้าบ้านก็จะตะโกนเรียกชื่อ ถ้าหากอีกฝ่ายเปิดประตูหรือขานรับก็เป็นอันจบ
แถมคนที่ถูกวริคโคลักคาสกัดกินก็จะกลายเป็นสาวกของมันไปด้วย
16. แวเพอร์ (Vapir)
หรือ ยูเบอร์ (Ubour) คือ
แวมไพร์ผีดิบของบัลแกเรียที่ดุร้ายกระหายเลือด มักจะปักหลักอยู่ตามสุสาน
คอยวนเวียนกินศพหรือดูดเลือดสดๆ ทั้งจากศพที่ใหม่และเก่า
และถ้าหากมันเห็นใครพลัดหลงไปเจอก็จะตรงเข้าจู่โจมทันที
17. ซตีกอย (Strigoi เพศชาย) หรือ ซตีโกอิค่า (Strigoaica เพศหญิง) คือ
แวมไพร์โรมาเนีย
ที่เชื่อกันว่าเป็นเหล่าหมอผีต่างๆที่ยังมีชีวิตอยู่ สามารถถอดร่างไปหาเหยื่อได้
มีพลังจิต
และพลังอำนาจมากมาย บางครั้งก็เรียกว่า ซตีกอย วี (Strigoi vii) หมายถึง แวมไพร์ที่ยังมีชีวิต แถมยังเชื่อว่าไม่มีวันตาย
พูดง่ายๆว่าเป็นอมตะ และมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆตามสุสาน
18. นอสเฟอราตู (Nosferatu)
คือ ความเชื่อของชาวโรมาเนีย นอสเฟอราตู คือ
แวมไพร์ที่เกิดจากสาเหตุประหลาดคือ คนที่จะต้องเป็นนอสเฟอราตูนั้นต้องเป็นลูกนอกสมรส
ซึ่งนอสเฟอราตูก็เป็นเช่นกัน
หรือไม่นอสเฟอราตูตัวใดตัวหนึ่งเกิดไปมีความสัมพันธ์กับใครๆ จนทำให้เกิดลูกเกิดหลานขึ้นมาอีกมากมาย
19. ยูเปียร์ (Upior)
หรือ ยูเพอร์ คือ แวมไพร์ชนิดพิเศษของโปแลนด์ และแถบรัสเซีย
เป็นแวมไพร์ที่มีระยะเวลาการล่า และจู่โจมเวลาเที่ยงวันไปจนถึงเที่ยงคืน
การที่มันสามารถล่าเหยื่อได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถจัดการมันได้โดยง่าย
20. นัคซือเฮอเรอร์ (Nachtzehrer)
คือ แวมไพร์ผีดิบของเยอรมันที่มีอุปนิสัยคล้ายกูล์ หรือปอบ คือ
จะเที่ยวเพ่นพ่านไปตามสุสาน และเสาะหาซากศพที่ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ขึ้นมากิน
และยังมีความสามารถทางด้านร่างกายที่ว่องไวอีกด้วย
21. แอลพ์ (Alp)
คือ แวมไพร์อีกชนิดหนึ่งของเยอรมันที่มีพฤติกรรมประหลาดชอบจู่โจมเหยื่อ
ที่กำลังอยู่ในช่วงเคลิ้มหลับ และส่วนใหญ่มักจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิง
ส่วนผู้ชายและเด็ก
นับเป็นตัวเลือกต่อมา โดยเชื่อว่าแอลพ์ เกิดจากมารดาที่ตอนให้กำเนิดนั้นทำการเกาะปลอกคอม้าที่มีผู้นำมาแขวนไว้เพื่อพยุงตัวขณะคลอด
ส่วนใหญ่ผีแอลพ์มักมาในรูปของคนที่เป็นผู้ชาย
แต่ก็อาจแปลงกายมาในรูปแบบอื่นๆได้อีก
และที่สำคัญคือวิธีการดูดเลือดมันก็แปลกประหลาด
นั่นคือเลือกฝังคมเขี้ยวไปบริเวณหัวนมของเหยื่อไม่ว่าเหยื่อนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
22. ซิฮูเทติโอ (Cihuateteo) คือ
วิญญาณอาฆาตของผีตายท้องกลม ที่จะเที่ยวไล่ล่าเด็กเล็กๆ
ในความเชื่อของชาวแอสแทค
23. ทลาฮูลพุชชี่ (Tlahuelpuchi) คือ
แวมไพร์ผีดิบที่มีพลังอำนาจทางจิตสูงตามความเชื่อ
ของชาวเม็กซิโก สามารถเปลี่ยนสภาพร่างกายของมันได้ตามที่มันต้องการ
24. อาเซมา (Asema) คือ
แวมไพร์ทางใต้ของเม็กซิโกที่เชื่อกันว่าถูกควบคุมโดยพ่อมดหมอผี
ทำให้มีประสิทธิภาพในการล่าสังหารสูงมาก
25. เฮ้นท์ (Haint) คือ
วิญญาณร้ายตามความเชื่อทางตอนใต้ของอเมริกันที่ชอบเล่นงานเหยื่อที่นอนหงาย
26. โอล์ด แฮ็กซ์ (Old hag) คือ
วิญญาณร้ายแถบนิวฟาวน์แลนด์ แคนาดา ซึ่งเป็นผีร้ายที่ถูกบงการด้วยแม่มด หมอผี หรือวิญญาณที่ถูกถอดออกจากร่างของพ่อมดหมอผี
เพื่อตามไปเล่นงานล่าล้างดูดเลือดศัตรูตามที่ตนต้องการ
โดย Vampire ได้ปรากฎตัวในภาพยนต์เรื่อง ได้พบเห็น แวมไพร์" เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม จนกระทั่งในต้นพุทธศักราช ที่ 24 แวมไพร์ ก็กลายเป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง โดยมีทั้งเพศชายและเพศหญิง แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยการใช้กระเทียม การเป็น แวมไพร์นั้นเป็นไปโดยไม่ได้สมัครใจ และก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับปีศาจหรือเวทมนตร์ แวมไพร์ มักเป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย และบุคคลที่มีความแตกต่างไปจากคนอื่นหรือมีการตายอย่างแปลกประหลาดนั้นมักถูกเชื่อว่า เป็นแวมไพร์อย่างแน่นอน บุคคลใดที่มีลักษณะคล้ายแวมไพร์ จะถูกกีดกันจากสังคมทันที การกำจัดแวมไพร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็น แวมไพร์ โดยความเชื่อของชาวโรมันให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัด แวมไพร์ หรือกำจัดได้โดยวิธีเดียวกับที่ทำกับ แวมไพร์ เปาเล
และมีฟันเป็นโลหะที่คมเหมือนฟันฉลาม
พอไปถึงหน้าบ้านก็จะตะโกนเรียกชื่อ ถ้าหากอีกฝ่ายเปิดประตูหรือขานรับก็เป็นอันจบ
แถมคนที่ถูกวริคโคลักคาสกัดกินก็จะกลายเป็นสาวกของมันไปด้วย
และถ้าหากมันเห็นใครพลัดหลงไปเจอก็จะตรงเข้าจู่โจมทันที
ที่เชื่อกันว่าเป็นเหล่าหมอผีต่างๆที่ยังมีชีวิตอยู่ สามารถถอดร่างไปหาเหยื่อได้ มีพลังจิต
และพลังอำนาจมากมาย บางครั้งก็เรียกว่า ซตีกอย วี (Strigoi vii) หมายถึง แวมไพร์ที่ยังมีชีวิต แถมยังเชื่อว่าไม่มีวันตาย พูดง่ายๆว่าเป็นอมตะ และมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆตามสุสาน
เป็นแวมไพร์ที่มีระยะเวลาการล่า และจู่โจมเวลาเที่ยงวันไปจนถึงเที่ยงคืน การที่มันสามารถล่าเหยื่อได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถจัดการมันได้โดยง่าย
และยังมีความสามารถทางด้านร่างกายที่ว่องไวอีกด้วย
ที่กำลังอยู่ในช่วงเคลิ้มหลับ และส่วนใหญ่มักจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิง ส่วนผู้ชายและเด็ก
นับเป็นตัวเลือกต่อมา โดยเชื่อว่าแอลพ์ เกิดจากมารดาที่ตอนให้กำเนิดนั้นทำการเกาะปลอกคอม้าที่มีผู้นำมาแขวนไว้เพื่อพยุงตัวขณะคลอด ส่วนใหญ่ผีแอลพ์มักมาในรูปของคนที่เป็นผู้ชาย
แต่ก็อาจแปลงกายมาในรูปแบบอื่นๆได้อีก และที่สำคัญคือวิธีการดูดเลือดมันก็แปลกประหลาด นั่นคือเลือกฝังคมเขี้ยวไปบริเวณหัวนมของเหยื่อไม่ว่าเหยื่อนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
ในความเชื่อของชาวแอสแทค
ของชาวเม็กซิโก สามารถเปลี่ยนสภาพร่างกายของมันได้ตามที่มันต้องการ
ทำให้มีประสิทธิภาพในการล่าสังหารสูงมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น