วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เงือก(Mermaid)




 เงือก(Mermaid)

 


                    จากตำนานกล่าวว่า เงือก หรือ นางเงือก เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำโดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำมักเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์มีส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคนส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลาในหลายประเทศทั่วโลกมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกมากมายเงือกเป็นปริศนาเร้นลับหลายศตวรรษที่ผ่านมามีเรื่องเล่าขานกันว่าถ้าบนบกมีสัตว์ที่ครึ่งคนครึ่งม้าในน้ำก็ต้องมีครึ่งคนครึ่งปลาข้อสรุปนี้อาจเป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยแต่เราเคยพบปลารูปร่างหน้าตาเหมือนหมูแต่ไม่ได้หมายความว่าในน้ำมีหมูอยู่จริง
         เงือกในภาษาอังกฤษคือMermaidแปลว่าหญิงสาวแห่งท้องทะเลเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานร่างกายครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นปลาส่วนพวกพ้องเธอที่เป็นเพศชายจะเรียกว่าเมอร์แมน(Merman)จากตำนานเล่าว่าเงือกเป็นอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกที่อาศัยอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำเชื่อกันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่งบริตานีและเดินทางว่ายข้ามข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ซึ่งเป็นที่มาให้ผู้คนเรียกชื่อสถานที่แห่งนี้ว่าเมอร์เมดเมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้)ซึ่งเป็นคำผสมของภาษาแองโกลและฝรั่งเศสเมื่อว่ายน้ำมาถึงคอร์นวอลล์เงือกก็จะขยายพันธุ์ไปไกลจนถึงทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษและเลยไปถึงรอบๆประเทศสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวียนอกจากนี้ยังอาจมีบางครั้งที่เราสามารถพบเห็นเงือกได้ตลอดแนวฝั่งยุโรปและตลอดแนวฝั่งแอตแลนติกของประเทศอังกฤษกับไอร์แลนด์แต่ละประเทศก็มีตำนานเล่าถึงการกำเนิดของนางเงือกในรูปแบบที่แตกต่างกัน
 โดยที่ไอริชแห่งไอร์แลนด์เรียกเงือกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชาบางครั้งนางเงือกก็ได้รับสมญานามว่าพรหมจารีแห่งทะเลลักษณะสวยงามดั่งกระจกของนางเงือกคือสิ่งที่แทนวงพระจันทร์และผมที่สยายยาวคือสาหร่ายทะเลหรือรังสีบนผิวน้ำ(Jobe)แต่บางครั้งก็กล่าวว่ากะลาสีเรือที่เดินทางไปในเรือนานๆเข้าไม่ได้เห็นผู้หญิงเลยก็เกิดภาพหลอนขึ้นมาซึ่งนั่นหมายความว่านางเงือกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิงแต่พวกเดินทางทางเรือเกิดจินตนาการเพราะว้าเหว่คิดถึงครอบครัวความเชื่อในเรื่องดังกล่าวบางคนเสนอว่าบางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิดคิดว่าพะยูนคือเงือกก็เป็นได้
       โดยหากเป็นนิทานพื้นบ้านของโรมันจะกล่าวไว้ว่าเมื่อครั้งที่มีสงครามกรุงทรอยได้มีเศษไม้ที่แตกมาจากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดวายและเศษไม้เหล่านั้นก็ได้กลายสภาพมากำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเงือกส่วนชาวไอริชก็มีตำนานเล่าว่านางเงือกคือหญิงสาวนอกศาสนาที่ถูกขับไล่ให้ออกไปจากแผ่นดินส่วนบางท้องถิ่นก็เชื่อกันว่าแท้ที่จริงแล้วชาวเงือกคือบรรดาลูกของกษัตริย์ฟาโรห์ที่จมน้ำตายในทะเลแดง

       ส่วนตำนานของเทพกรีกได้มีความเชื่อว่าต้นตระกูลของเงือกคือไตรตอนซึ่งมีบิดาคือเทพโพเซดอนผู้เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมีมารดาเป็นพรายน้ำสาวตนหนึ่งโดยหากกล่าวถึงไตรตอนผู้คนมักจะนึกถึงไตรตอนที่มีหางเป็นปลามีหนวดเครายาวและมีอำนาจยิ่งใหญ่ในท้องทะเลที่พักของไตรตอนอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเลลึกไตรตอนมีอาวุธเป็นตรีศูล(ฉมวกสามง่าม)และคอยเป่าแตรหอยสังข์เพื่อใช้ควบคุมความสงบให้แก่ท้องทะเลด้วยเหตุนี้ไตรตอนจึงมีอีกหนึ่งสมญานามว่านักเป่าแตรแห่งท้องทะเลบางตำนานก็เล่าว่าชาวเงือกรุ่นบุกเบิกแท้จริงแล้วคือโอนเนส(Oannes)ผู้เป็นเทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลนซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้โอนเนสมีร่างกายเป็นมนุษย์แต่มีศีรษะเป็นปลานอกจากนี้เทพผู้นี้ยังถือเป็นผู้มีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อีกด้วยโดยโอนเนสมักจะปรากฏกายขึ้นมาจากท้องทะเลในช่วงเวลาเช้าและหายตัวไปในทะเลตอนเวลาค่ำในทุกๆวันเมื่อเวลาผ่านไปเทพอียา(Ea)ผู้มีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันกับโอนเนสได้ขึ้นมามีบทบาทแทนที่โอเนสจึงเชื่อถือกันว่าเทพเจ้าอียาเป็นบรรพบุรุษของเงือกนั่นเองส่วนเทพเจ้าอาทาร์การ์ติส(Atargartis)ก็ถือเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ซึ่งมีลักษณะรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งปลาสำหรับสาเหตุที่เทพเจ้าหลายองค์ของชาวบาบิโลนมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งปลานี้ก็เพราะพวกเขามีความเชื่อว่าในทุกๆวันดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะขึ้นและจมหายลงไปในทะเลทุกครั้งดังนั้นเทพเจ้าที่เขานับถือจึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำเรื่องเล่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งเร้นลับที่ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้เงื่อนงำทั้งหมดยังคงซ่อนอยู่และถูกสืบทอดต่อกันมาหลายๆปีซึ่งเล่าผ่านเรื่องราวของเงือกว่ากันว่ากระจกที่นางเงือกใช้สำหรับส่องนั้นถือเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ซึ่งการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ไปรอบโลกทำให้เกิดมีอิทธิพลต่อปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงซึ่งความเชื่อมโยงกันของสองสิ่งนี้ได้ช่วยให้ตำนานนางเงือกมีความซับซ้อนและพิสดารมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
         หลังจากที่คริสตศาสนาได้เริ่มมีขึ้นตำนานนางเงือกก็ถูกปรับเปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิมศาสนาคริสต์เชื่อว่านางเงือกสามารถมีชีวิตจิตใจและมีวิญญาณได้หากแต่จะต้องให้คำสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไปโดยไม่คิดกลับคืนสู่ใต้ทะเลอีกแต่เรื่องดังกล่าวกลับเป็นไปไม่ได้และสร้างความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสให้แก่เธอเป็นอย่างมากแม้ว่าเงือกเหล่านี้จะอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลแต่พวกมักก็มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเองเช่นกันไม่แตกต่างไปจากมนุษย์ที่อยู่บนบกอย่างไรก็ตามเงือกก็สามารถพูดภาษาคนปกติบนแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลจากตัวมันได้เช่นกันส่วนอุปนิสัยของเงือกนั้นเป็นที่รู้กันว่านางเงือกชอบออกมาท่องเที่ยวตามชายฝั่งบางครั้งก็จะออกมานั่งหวีผมที่ยาวสลวยอยู่บนหากทรายหรือนั่งฟังเสียงคลื่นเสียงนกร้องบ้างก็มีเงือกจึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตทางทะเลที่มีปัญญาที่ฉลาดที่สุดอีกทั้งยังมีความว่องไวเกินกว่าที่ใครจะเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกมันได้ อาหารของนางเงือก ก็คือ ปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ
         อย่างไรก็ตามนางเงือกไม่เคยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตกปลาของชาวประมงเลยเว้นเสียแต่ว่ามนุษย์นั่นแหละที่มักจะเข้าไปรุกรานความสงบสุขของนางเงือกอยู่เสมอนางเงือกเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจเพราะนางมีความสวยและมีความลึกลับทำให้เกิดความน่าค้นหานางเหงือกที่มีผมสีบลอนด์แก่อ่อนต่างระดับจะเรียกกันว่าสตรอเบอร์รีบลอนด์อีกทั้งยังมีดวงตาสีเขียวหรือเขียวอมฟ้ากลมโตซึ่งเป็นสีเดียวกับน้ำทะเลด้วยส่วนผิวพรรณในส่วนที่คล้ายคนก็มีสีขาวบริสุทธ์ราวกับไข่มุกสัดส่วนองค์เอวของนางเงือกก็ดูสมส่วนพอเหมาะสวยงาม เมื่อนางเงือกลงไปอยู่ในทะเลจึงมองดูเหลือบเป็นสีเงิน 
        นอกจากนี้ชาวเงือกยังมีอายุที่ยาวนานกว่าที่นางเงือกจะโตหรือจะแก่ได้จะใช้เวลาที่ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่าทำให้ยากที่จะสามารถเดาอายุที่แท้จริงของนางเงือกได้ด้วยเหตุนี้นางเงือกจึงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างยาวนานและมีช่วงเวลาของการเป็นสาวที่ยาวนานหลายปีเลยทีเดียว
         ส่วนนายเงือกที่เป็นชายก็มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและจะมีรูปร่างบึกบึนร่างกายปกคลุมไปด้วยขนและมีผิวสีคล้ำกว่านางเงือกที่เป็นเพศเมียส่วนการปรากฏตัวของนายเงือกก็ดูอ่อนโยนมากกว่าบุคลิกที่แสดงออกมาอย่างมากเลยทีเดียวด้วยความที่เงือกเป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณแต่กลับมีอำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งมีผลให้เป็นอมตะและสามารถล่วงรู้อนาคตได้อย่างไรก็ตามพวกมันมักจะมีนิสัยเห็นแก่ตัวไร้สาระและอิจฉาริษยาด้วย 

โดย Mermaid ได้ปรากฎตัวในภาพยนต์และอนิเมชั่นเรื่อง

Aquamarine





Mermaid Melody
 



 Pan


The Little Mermaid






วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ฮอบบิท( Hobbit)



 ฮอบบิท( Hobbit)

 




        ฮอบบิทเป็นชื่อเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในจินตนิยายของ เจ. อาร์.อาร์.โทลคีนปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือเรื่องฮอบบิทและมีบทบาทสำคัญในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ฮอบบิทเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีขนาดเล็กกว่าและไม่ล่ำบึกบึนเหมือนอย่างคนแคระเนื่องจากฮอบบิทมีขนาดตัวราวครึ่งหนึ่งของมนุษย์จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าฮาล์ฟลิง(Halfling)พวกเอลฟ์เรียกเขาว่าเพเรียนนัธ(Periannath)แต่พวกฮอบบิทเรียกตัวเองว่าคูดุค(Kuduk)ส่วนคำว่าฮอบบิทนี้มีที่มาจากคำในภาษาโรเฮียริคว่าโฮลบีตลาน(Holbytlan)ซึ่งหมายถึงผู้ที่อยู่ในโพรง               



       นักอ่านบางคนเชื่อว่า โทลคีน นำคำว่า Human กับ Rabbit มาผสมกันอันที่จริงแล้วพวกฮอบบิทไม่ได้มีอยู่ในตำนานหากแต่โทลคีนจินตนาการขึ้นมาเมื่อตอนที่เขากำลังจะเขียนนิยายเรื่องฮอบบิท หลังจากนึกชื่อออกแล้วโทลคีนจึงสร้างเรื่องราวของฮอบบิทขึ้นและโทลคีนก็เป็นคนแรกที่บัญญัติศัพท์คำว่าฮอบบิทขึ้นมาโดยหมายความถึง สิ่งมีชีวิตนิสัยดีที่อยู่ในโพรงใต้ดินฮอบบิทมีภาษาพูดของตนเองเรียกว่า ภาษาฮอบบิติช เป็นภาษาในตระกูลเดียวกันกับภาษาโรเฮียริคเนื่องจากถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวฮอบบิทกับชาวโรเฮียริมอยู่ใกล้เคียงกัน



       ในบทนำของเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ระบุว่า ฮอบบิทส่วนใหญ่มีความสูงประมาณ 2-4 ฟุต ความสูงเฉลี่ย 3 ฟุต 6 นิ้ว มีอายุเฉลี่ยราว 100 ปี(สูงสุดประมาณ 130 ปี)เท้าเป็นขนและเดินได้เงียบปลายหูแหลมอาศัยอยู่ในโพรงชอบการกินอาหารชอบการละเล่นและความสนุกสนานเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสงบอายุยืนกว่ามนุษย์ธรรมดา ถ้าฮอบบิทอายุได้ 33 ปี จะเทียบกับมนุษย์ได้ 21 ปี เมื่อนั้นจึงจะถือว่าฮอบบิทคนนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว



         ฮอบบิทกินอาหารถึงวันละ 7 มื้อ ได้แก่ มื้อเช้า, มื้อหลังเช้า, มื้อ 11 โมง, มื้อเที่ยง, มื้อน้ำชา, มื้อเย็นและมื้อดึกทั้งนี้ไม่รวมของว่างเล็กๆน้อยๆที่ทานได้ตลอดทั้งวันฮอบบิททานอาหารได้ทุกประเภทแต่ที่โปรดปรานที่สุดคือ เห็ด ช็อคโกแล็ตและเหล้าเอล นอกจากนี้ฮอบบิทยังชอบทำขนมเค็กด้วยเผ่าพันธุ์ฮอบบิทเป็นผู้ชำนาญการด้านยาสูบดินแดนของพวกเขาเป็นแหล่งผลิตยาสูบมวนกระดาษสีดำชั้นดีที่สุดของมิดเดิลเอิร์ธและพวกฮอบบิทก็ชอบใช้กล้องสูบยาด้วย



    แต่เดิมชาวฮอบบิทอาศัยอยู่ในหุบเขาแถบลุ่มแม่น้ำอันดูอินระหว่างป่าใหญ่กรีนวู้ดกับเทือกเขามิสตี้พวกเขามีด้วยกันทั้งหมดสามชนชาติ คือพวก ฮาร์ฟุต, สตัวร์และฟอลโลไฮด์พวกฮาร์ฟุตเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดและมีลักษณะโดยทั่วไปเหมือนอย่างฮอบบิทที่บรรยายไว้ในหนังสือของโทลคีนพวกเขาชอบอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดินหรือที่เรียกว่าสไมอัลด์ตั้งถิ่นฐานอยู่บนไหล่เขาของฮิธายเกลียร์ต่อมาคือพวกสตัวร์ซึ่งมีจำนวนรองลงมาพวกเขาชอบอาศัยอยู่ริมแม่น้ำนิยมการแล่นเรือและจับปลาตั้งถิ่นฐานอยู่แถบทุ่งแกลดเดนส่วนพวกฟอลโลไฮด์นั้นมีจำนวนน้อยที่สุดว่ากันว่าฮอบบิทกลุ่มนี้มีรูปร่างสูงกว่ากลุ่มอื่นๆชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้และรักการผจญภัยมักเป็นผู้นำอยู่ในชุมชนเสมอเช่นพวกตระกูลตุ๊กและตระกูลแบรนดี้บั๊กก็มีสายเลือดของพวกฟอลโลไฮด์



        ในปีที่ 1601 ของยุคที่สามฮอบบิทชาวฟอลโลไฮด์สองคนชื่อว่ามาร์โคและบลังโคได้รับพระราชานุญาตจากกษัตริย์แห่งอาร์นอร์เดินทางข้ามแม่น้ำบารันดูอินไปตั้งถิ่นฐานอยู่บนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำเป็นอาณาจักรของชาวฮอบบิทเองชื่อว่าไชร์โดยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอาร์นอร์ฮอบบิทจำนวนมากได้อพยพตามพวกเขาไปนอกจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งที่ลงหลักปักฐานที่เมืองบรีนับเป็นเมืองสำคัญของพวกฮอบบิทอีกเมืองหนึ่ง



       ในการสงครามระหว่างอาณาจักรอาร์นอร์กับอังก์มาร์ฮอบบิทได้ส่งพลธนูไปช่วยศึกด้วยหลังจากอาณาจักรอาร์นอร์สิ้นสลายพวกฮอบบิทก็เลือกผู้นำของตนขึ้นมาเองเรียกว่า 'เธน' เธนคนแรกของไชร์คือบัคคาต้นตระกูลโอลด์บั๊กภายหลังตระกูลโอลด์บั๊กอพยพข้ามแม่น้ำแบรนดี้ไวน์(บารันดูอิน)กลับไปทางตะวันออกตั้งดินแดนของตนขึ้นใหม่ในเขตบั๊กแลนด์และเปลี่ยนชื่อตระกูลเป็นแบรนดี้บั๊กผู้นำตระกูลเรียกว่าประมุขแห่งบั๊กแลนด์ชาวฮอบบิทแห่งไชร์จึงเลือกตระกูล'เธน'ขึ้นมาใหม่ได้แก่ตระกูลตุ๊ก(เปเรกรินตุ๊กก็เป็นบุตรของเธนแห่งไชร์ในภายหลังเขาได้ขึ้นเป็นเธนแห่งไชร์ด้วย)เธนมีหน้าที่ด้านการทหารการป้องกันและปราบปรามความรุนแรงซึ่งไม่ค่อยมีงานให้ทำมากนักในอาณาจักรไชร์ของฮอบบิทผู้รักสงบหน้าที่ส่วนใหญ่ในไชร์ตกเป็นของนายกเทศมนตรีซึ่งจะมีการเลือกตั้งทุกๆ7ปีอันได้แก่ การจัดการเฉลิมฉลองพืชผัก การไปรษณีย์ (พวกฮอบบิทชอบเขียนจดหมายมาก) และเป็นประธานในงานรื่นเริงต่างๆ เป็นต้น

โดย Hobbit ได้ปรากฎตัวในภาพยนต์เรื่อง

The Hobbit 
 






 The lord of the rings





วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ลาเมีย (Lamia)

ลาเมีย (Lamia)

 

         จากตำนานของกรีกโบราณเล่าว่า แรกเริ่มเดิมทีลามิอาหรือลาเมียนั้นคือเจ้าหญิงที่ได้มาพบรักกับมหาเทพซีอุส แต่อย่างที่ทราบกันว่ามหาเทพซีอุสนั่นมีพระมเหสีอยู่แล้ว นามว่าจูโน ซึ่งจูโนเป็นคนที่ขี้หึงและเจ้าอารมณ์เป็นอย่างมาก นางมักจะคอยสาปและทำร้ายเหล่าหญิงสาวที่มาหลงรักพระสวามีของตนเองอยู่เสมอ ซึ่งลามิอาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน โดยจูโนได้สาปให้ลามิอากลายเป็นอสูรกายแล้วสั่งให้ลามิอาฆ่าลูก ๆ ของนางเอง แต่เท่านั้นยังไม่สาสมแก่ใจ จูโนจึงยังจับลามิอามาถ่างตาจนตาของลามิอาไม่สามารถปิดลงได้ ทำให้ลามิอานั้นไม่สามารถนอนหลับได้ตลอดกาลและยังทรมานต่อด้วยการทำให้ลามิอาเห็นภาพที่ฆ่าลูกๆของนางเอง เทพเจ้าซีอุสนึกสงสารจึงมอบพลังให้แก่ลามิอาเพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากภาพอันน่าสยดสยองที่นางฆ่าลูกของตนเอง ทำให้นางสามารถควักในตาตนเองทิ้งไปได้ และ สิ่งเดียวที่พอจะช่วยเยียวยาจิตใจนางได้ก็คือการขโมยลูก ๆ ของคนอื่น
             จากตำนานของโรมันกล่าวว่าลาเมียเคยเป็นผู้หญิงธรรมดามาก่อนและได้พบรักกับเทพซูส แต่เธอถูกสาปให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดด้วยฝีมือของฮีรา ภรรยาของซูสผู้ที่อิจฉาริษยาหญิงสาวคนใดก็ตามที่อยู่ใกล้พระสวามีของตน ลาเมียในร่างสัตว์ประหลาดนั้นจะมีศีรษะเป็นผู้หญิงและมีร่างกายเป็นงู นอกจากฮีราจะสาปลาเมียแล้ว นางยังได้ฆ่ายังฆ่าลูก ๆ ของลาเมียด้วย ลาเมียจึงได้ออกฆ่าเด็กเพื่อเป็นการล้างแค้น
 

โดย Lamia ได้ปรากฎตัวในภาพยนต์และอนิเมชั่นเรื่อง


Clash of the titans




Monster musume no iru nichijou


 

โทรลล์ (Troll)

โทรลล์ (Troll)

 



       จากตำนานดั้งเดิมของชาวสแกนดิเนเวียนกล่าวไว้ว่า  โทรลล์ นั้นคือ อสูรกายตัวขนาดมหึมา รูปร่างใหญ่โตและสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่า โทรลล์นั้นมีรูปร่างคล้ายมนุษย์คือมีแขน ขา และยืนด้วยสองเท้าเหมือนกับมนุษย์ แต่มีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวแบบสัตว์ประหลาดของชาวตะวันตก ทั้งยังมีนิสัยดุร้ายและเหี้ยมโหด พวกโทรลล์มักจะมีถิ่นอาศัยและอาณาเขตของตนเองที่แน่นอน บางตำนานกล่าวว่า โทลล์จะสร้างปราสาทของพวกมันอยู่ใน ถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ พวกโทรลล์จะออกลาดตระเวนรอบๆอาณาเขตของตนเองเพื่อความปลอดภัย โทรลล์นั้นจะออกหาอาหาร รวมทั้งออกอาละวาดไล่ฆ่า ทำลายสิ่งต่างๆในเวลากลางคืนเท่านั้น เพราะร่างกายของโทรลล์ไม่สามารถทนต่อแสงอาทิตย์ได้ และเมื่อต้องพบเจอกลับแสงแดดร่างกายของพวกมันจะถูกแผดเผาและกลายเป็นหินไปในที่สุด


โดย Troll ได้ปรากฎตัวในภาพยนต์เรื่อง

Harry Potter and the Philosopher's Stone
 


 The Hobbit